วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

[วิธีการทำสตรอเบอร์รี่เค้ก]

ส่วนผสม

1. สตรอว์เบอร์รี่สดผ่าครึ่ง 6 ผล

2. สปันจ์เค้ก 3 ชิ้น

3. ครีมวานิลลา

4. วิปปิ้งครีม

ส่วนผสมสปันจ์เค้ก

1. ไข่ไก่ 3 ฟอง

2. น้ำตาลทรายขาว 300 กรัม

3. แป้งสาลี 300 กรัม

4. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำ

นำส่วนผสมมาเรียงเป็นชั้น โดยเริ่มจากสปันจ์เค้ก ราดด้วยครีมวานิลลา ใส่สตรอว์เบอร์รี่สด ราดด้วยวิปปิ้งครีม แล้วประกบด้วยสปันจ์เค้ก ทำซ้ำอีก 1 ครั้ง จัดใส่จานเสิร์ฟ

วิธีทำสปันจ์เค้ก

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องตี ตีจนเข้ากัน เทลงในถาด นำเข้าเตาอบ โดยใช้อุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮต์ อบประมาณ 15 นาทีนำสปันจ์เค้ก ที่อบเสร็จแล้วมาหั่นเป็นชิ้นหนา 1 เซนติเมตร

โจ๊กเห็ดหอม (เจ)



ส่วนผสม

ข้าวต้มหุงจนเละเป็นโจ๊ก 2 ถ้วย
น้ำซุปผัก 1/2 -1 ถ้วย
เห็ดหอมสดหั่นชิ้นเล็กลวก 1 ถ้วย
แผ่นแป้งเปาะเปียะทอดกรอบ สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ

ใส่น้ำซุปในกระทะหรือหม้อ ใส่โจ๊กที่ต้มไว้ (ข้นหรือเหลวตามชอบ)
ตามด้วยเห็ดหอม พอเดือดปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น
ชิมรส ตักใส่ชามโรยแผ่นเปาะเปี๊ยะทอด รับประทานร้อนๆ


น้ำซุปเจส่วนผสม

กะหล่ำปลี 1 หัว
หัวไชเท้า 1 ลูก
เห็ดหอมแห้ง 5 ดอก
แอ๊ปเปิ้ลแดง 1 ผล

วิธีทำ

หั่น กะหล่ำปลีเป็นชิ้นใหญ่ หั่นหัวไชเท้า แอ๊ปเปิ้ลหั่น 4 ชิ้นใส่น้ำต้มนานประมาณ 2 –3 ชั่วโมง กรองน้ำนี้เป็นน้ำซุปใช้ทำอาหารเจได้ตลอดวัน








การลงรองพื้น

  • เริ่มด้วยการแต้มครีมรองพื้น 5 จุด บริเวณหน้าผาก จมูก แก้ม 2 ข้าง และคาง
  • เกลี่ยให้ทั่วใบหน้าจนเนียนเรียบ
  • หากต้องการลงรองพื้นแบบเบาบาง ให้ใช้ฟองน้ำเกลี่ย แต่หากต้องการการปกปิดแบบหนาให้ใช้นิ้วมือในการเกลี่ย
  • วิธีการจับฟองน้ำ ให้ใช้นิ้วกลางเป็นแกนหลักในการกดฟองน้ำให้สัมผัสกับผิวหน้า ในลักษณะคล้ายกับสปริง กดซับให้ทั่วใบหน้าจนกว่าจะเนียนเรียบ

แต่งตัวให้เข้ากับบุคลิกแบบไม่ตกเทรนด์
เรื่อง การแต่งตัวนี่ ผู้หญิงเราไม่มีใครยอมใครจริงๆ เลยค่ะ ยิ่งตอนนี้แฟชั่นญี่ปุ่น เกาหลี กำลังมาแร๊งส์สสสสส ในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ทรงผม.....


แต่งตัวอย่างไรให้เข้ากับบุคลิก...
การ แต่งกายของสาววัยรุ่นในปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากมหาประเทศผู้นำแฟชั่นทั้ง หลาย ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายแนวให้เลือกแต่งตามใจชอบ


แต่งกายสมวัย...หัวใจของบุคลิกภาพที่เหมาะสม
มี เครื่องแต่งกายสวยๆ ให้เลือกหามาสวมใส่ในราคาไม่สูงอย่างนี้ก็สะดวกดี...สำหรับคนที่รู้จักแต่ง กาย แต่สำหรับอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าการแต่งกายที่ดีควรเป็นอย่างไรกลับยิ่ง เป็นปัญหา...


9 แฟชั่นต้องห้ามในออฟฟิศ
เห็นกันเกลื่อนเมืองกับแฟชั่นโชว์บรา ตั้งแต่โชว์สายบราสีสวย ไปจนถึงโชว์หน้าอกหน้าใจกันเห็น ๆ จะว่าไปแต่งตัวแบบนี้ไปเที่ยวนั้นก็ล่อแหลมอยู่แล้ว ถ้าคุณกล้าขนาดใส่ไปทำงานยิ่งแล้วใหญ่

การลดต้นขา

เกร็ดน่ารู้ วิธีลดต้นขา แบบง่ายๆ

เกร็ดน่ารู้ วิธีลดต้นขา แบบง่ายๆ


  1. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
  2. ยังยกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
  3. ปั่นจักรยานกลางอากาศประมาณ 100 ครั้ง
  4. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง

ใครที่ีต้นขาใหญ่ ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ลองทำตามคำแนะนำดูนะคะ (แรกๆอาจจะเมื่อยหน่อย แต่ทำบ่อยๆ ก็จะหายเองค่ะ)

เคล็ดลับในการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี

เคล็ดลับในการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี

การลดน้ำหนักจะ ประสบผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก ในขณะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกาย หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึก ก็จะทำให้เราล้มเลิกความคิดในการลดน้ำหนักไป

หลักในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกขณะลดน้ำหนัก
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องควบคุมสิ่งกระตุ้นทั้งจากภายใน และภายนอก โดยพยายามตัดวงจรหรือพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกหิว เบื่อหรือท้อแท้ โดยต้องสังเกตเองว่า พฤติกรรมหรือปัจจัยใดเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกหิวหรือไม่สามารถ ยับยั้งชั่งใจได้


ฝึกการหายใจเพื่อคลายเครียด ดีกว่ากินเกินเพราะเครียด ตามปกติคนทั่วไปจะหายใจตื้นๆ ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายน้อยกว่าที่ควร ยิ่งเมื่อเกิดอาการเครียด การหายใจก็จะถี่และตื้นขึ้นกว่าเดิม การฝึกให้หายใจช้าๆ ลึกๆ อย่างถูกวิธี จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง การเผาผลาญอาหารจะสมบูรณ์ขึ้น ความดันโลหิตลดลง สมองแจ่มใส ความเครียดลดลง และอารมณ์ดีขึ้นด้วย


วิธีการฝึก
นั่งในท่าที่สบาย หลับตา ค่อยๆ หายใจเข้า พร้อมกับนับเลข 1 ถึง 4 เป็นจังหวะช้าๆ 1...2...3...4... ให้รู้สึกว่าท้องพองออก กลั้นหายใจเอาไว้สักครู่ นับ 1 ถึง 4 เป็นจังหวะช้าๆ เช่นเดียวกับเมื่อหายใจเข้าค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก โดยนับ 1 ถึง 8 อย่างช้าๆ 1...2...3...4...5...6...7...8 พยายามไล่ลมหายใจออกมาให้หมด สังเกตว่าหน้าท้องแฟบลง แล้วทำซ้ำอีกครั้ง โดยหายใจเข้าช้าๆ กลั้นไว้ แล้วหายใจออก โดยช่วงเวลาที่หายใจออกให้นานกว่าช่วงเวลาหายใจเข้า


ข้อแนะนำ
ควรฝึกทุกครั้งที่รู้สึกเครียด รู้สึกหิว รู้สึกไม่สบายใจหรือฝึกทุกครั้งที่นึกได้ ควรทำติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้ง ทุกครั้งที่หายใจออก ให้รู้สึกได้ว่าผลักดันความเครียดออกมาด้วยจนหมดเหลือไว้แต่ความรู้สึกอิ่ม โล่งสบายเท่านั้น ในแต่ละวัน ควรฝึกหายใจที่ถูกวิธีให้ได้ประมาณ 40 ครั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องทำติดต่อในคราวเดียวกัน

การใช้ ยาลดความอ้วน อย่างถูกวิธี

การใช้ ยาลดความอ้วน อย่างถูกวิธี

ยาลดความอ้วน

จัด เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ ร้านที่จะขายได้ต้องมีใบอนุญาต ฤทธิ์ของยาจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความถี่ของความรู้สึกหิว

การใช้ยาลดน้ำหนักทุกชนิดจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ในช่วงที่กินยา แต่น้ำหนักจะสูงกลับขึ้นเท่าเดิมเมื่อหยุดยาด้วยอาการที่เรียกว่า yo-yo effect คือผู้ใช้ยาจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะร่างกายปรับสภาพให้เผาผลาญพลังงานน้อยไป

ยาลดความอ้วนส่วนใหญ่ จัดเป็นอนุพันธ์ของ แอมเฟตามีน(amphetamine) ที่เป็นยาประเภทเดียวกับยาบ้า แต่พัฒนายาให้มีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทน้อยกว่า

ข้อควรระวัง

ข้อ ควรระวังของยาที่เตือนโดยบริษัทยาผู้ผลิต ว่าอาจเกิดผลข้างเคียง ที่พบบ่อยคือนอนไม่หลับ เวียนศีรษะ วิตกกังวล ปวดศีรษะ สั่น ตาพร่า หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดการติดยาและห้ามใช้ยาลดความอ้วนใน ผู้ป่วยที่มีประวัติเคยใช้ยาในทางที่ผิด หรือมีภาวะซึมเศร้า

แต่การใช้ยาลดความอ้วนช่วยในการลดน้ำหนักได้บ้าง หากปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยออกกำลังกาย ลดอาหารอย่างเหมาะสมควบคู่กันไป ส่วนคนที่ใช้ยาลดความอ้วน แต่ไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ยังกินอาหารเหมือนเดิม ไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อเผาผลาญพลังงาน ยาก็ใช้ไม่ได้ผล ทำให้หลายคนใช้วิธีเพิ่มปริมาณยามากขึ้น เพราะหวังว่าจะสามารถควบคุมน้ำหนักได้ ซึ่งเมื่อใช้ยาเกินปริมาณก็จะทำให้เกิดอันตรายจากผลข้างเคียงของยา

ประชาชนที่ซื้อยาลดความอ้วนรับประทานเอง จึงเป็นอันตรายมาก

ส่วนใหญ่คนที่ใช้ยาลดความ อ้วน เมื่อวัดปริมาณค่าดัชนีมวลกาย มักพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ความต้องการลดความอ้วนมักมาจากเกิดจากกระแสเลียนแบบดารา หรือต้องการทำตามเพื่อน

การหาดัชนีมวลกาย

การ หาดัชนีมวลกายทำได้ง่ายๆ คือนำน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง แล้วนำมาวัดค่ามาตรฐานสากล หากต่ำกว่า 20 หมายความว่าน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐาน 20.0-24.9 หมายถึง น้ำหนักปกติสำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 18.5-24.9 ค่า 25.0-29.9 หมายถึงน้ำหนักเกิน ค่า 30.0-39.9 หมายถึงโรคอ้วนมากกว่า 40 หมายความว่าโรคอ้วนรุนแรงการคำนวณวิธีนี้ ไม่ใช้กับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต สตรีมีครรภ์ และนักกีฬา

ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

ลำดับ แรกคงต้องเริ่มจากความมุ่งมั่น จากนั้นรับประทานอาหารให้น้อยลงวันละ 500 กิโลแคลอรี่ น้ำหนักตัวจะลดลงได้ประมาณ 0.45 กิโลต่อสัปดาห์ ถ้าปฏิบัติได้จริงในช่วง 10 เดือน จะลดได้ 18 ก.ก.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากมีผลต่อน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้ว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง ความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆลดลง แนะนำให้ออกกำลังกายครั้งละ 20-30 นาที 5-7 วันต่อสัปดาห์

พฤติกรรมการรับประทาน

เปลี่ยน แปลงพฤติกรรม เช่นรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ช้าลง เคี้ยวอาหารให้นานขึ้นก่อนกลืนอาหาร จะทำให้รู้สึกอิ่ม จะบริโภคได้น้อยลง เป็นต้น

ที่สำคัญต้องไม่ซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจอันตรายถึงชีวิต

การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี

การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี


การ มีสุขภาพดีนับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่ทุกคนปรารถนา คำว่าสุขภาพดีในที่นี้หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ตั้งแต่เรื่องการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน การพักผ่อนที่เพียงพอ การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บันทอนสุขภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายมีความสดชื่น กระฉับกระเฉง พร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันคนไทยได้ หันมาให้ความสนใจ และเอาใจใส่ต่อสุขภาพกันมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกหลักโภชนาการ หรือการรวมกลุ่มกันเล่นกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ การออกกำลังกายให้ได้ผลดีนั้นจะต้องค่อย ๆ ทำ ต้องใช้เวลา และควรทำอย่างสม่ำเสมอด้วยวิธีการที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายเกิดพัฒนาการอย่างมีคุณภาพและมีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว สำหรับการออกกำลังกายที่ดีและถูกต้องนั้นต้องประกอบด้วย

การเตรียมพร้อมก่อนออกกำลังกาย
ในการออกกำลังกายนั้นไม่ว่าท่านจะมีอายุอยู่ในช่วงวัยใด และไม่ว่าจะออกกำลังกายนานแค่ไหน หรือบางท่านยังไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย ท่านก็สามารถที่จะออกกำลังกายได้โดยเริ่มต้นจากวิธีง่าย ๆ คือ การออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวัน เช่น การเดินหรือขี่จักรยาน เมื่อไปยังสถานที่ที่ไม่ไกล หรือหยุดการใช้รถ แต่ใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่มีบ้านและที่ทำงานไม่ไกลจากกัน หรือใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน เป็นต้น ให้ท่านทำกิจวัตรเหล่านี้ทุกวันเป็นเวลา 1-2 เดือน จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น เดินให้เร็วขึ้น ขี้จักรยานให้นานขึ้น ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น ว่ายน้ำ เป็นต้น และในช่วงแรก ๆ ของออกกำลังกายไม่ควรหยุด ให้ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย หากเป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อน เพื่อช่วยกันประคับประคอง หรือท่านอาจจะให้คนในครอบครัวมามีส่วนร่วมด้วยก็จะดี
ท่านที่เริ่มต้นออกกำลังกาย ควรใช้วิธีเดินไม่ควรวิ่ง เนื่องจากการเดินจะทำให้ท่านไม่เหนื่อยมาก และยังสามารถลดน้ำหนักได้ด้วย นอกจากนี้อาการปวดข้อจะมีไม่มาก เหมาะสำหรับคนอ้วน หรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังกายสำหรับผู้ที่เตรียมร่างกายไว้พร้อมแล้ว เพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ทำให้เหนื่อย เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการเพิ่มความฟิตของร่างกายให้มากขึ้น
การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย
หลังจากที่ท่านเตรียมความพร้อม และได้ออกกำลังกายจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้ว หากท่านต้องการเพิ่มความฟิตร่างกายก็สามารถกระทำได้ ทั้งนี้ท่านควรเลือกการออกกำลังกายที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับท่านที่มีอายุมากกว่า 45 ปี หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการเลือกวิธีการออกกำลังกาย นอกจากนี้ในการออกกำลังกายไม่ควรหักโหมมากในครั้งแรก ๆ การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม และไม่ควรกลั้นหายใจหรือสูดลมหายใจอย่างแรง ควรหายใจเข้าและออกยาว ๆ เพื่อช่วยระบบการหายใจของร่างกาย และขณะออกกำลังกายท่านสามารถสังเกตอาการขณะออกกำลังกายว่าทำมากไปหรือไม่ โดยสังเกตจากอาการ ดังนี้
- หัวใจเต้นมากจนรู้สึกเหนื่อย
- หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
- เหนื่อยจนเป็นลม
หากมีอาการดังกล่าว ขอให้ท่านหยุดการออกกำลังกายสัก 2 วัน และเวลาออกกำลังกายในครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลง

การเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย
ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ท่านต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อน อาจใช้วิธีเดินภายในบ้าน รอบบ้าน หรือเดือนบนสายพาน ฯลฯ โดยปกติแล้วควรใช้เวลาในการอบอุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาที ซึ่งในกาทำความอบอุ่นร่างกายนี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น และหลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น เป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

การปฏิบัติตัวหลังการออกกำลังกาย
หลังจากออกกำลังกายแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายในทันที โดยเฉพาะท่านที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน อาจทำให้เกิดอาการหน้ามือ ควรอบอุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาที จนกระทั่งชีพจรกลับคืนสู่สภาพปกติ และควรดื่มน้ำให้เพียงพอภายหลังออกกำลังกาย

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
ท่านที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
- ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันต่ำ มีภูมิต้านทานของร่างกายดีขึ้น และป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคข้อเสื่อม เป็นต้น
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การทรงตัว และทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยลดความเครียด และทำให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น

น้ำมะนาว รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ

น้ำมะนาว รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ

น้ำมะนาว รักษา สิว ด้วยวิธีธรรมชาติ … หาได้จากตู้เย็นในครัวที่บ้าน

ใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัย

สามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน

ได้ มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้น

ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว

น้ำมะนาวมีกรดผล ไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย

สูตรน้ำมะนาว / วิธีใช้

1.ล้างหน้าให้สะอาด

2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป

3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง

4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)

5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล

ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว

สามารถ ใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

ความจริงแล้วการ รักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :

-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)

-บรรเทาอาการท้องผูก

-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด

-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร

-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 1

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว

2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)

3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวัน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 2

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)

2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า

3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย

การรักษาทางธรรมชาติบำบัด

การรักษาทางธรรมชาติบำบัด

เริ่ม จากการวิเคราะห์หาสาเหตุที่มากระทบ Vital force เช่น การนอนดึก การทานอาหารและน้ำ การเกิดภาวะท้องผูก มีสารพิษในลำไส้ ความเครียด สารเคมีจากเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผม (hair product) และยาเคมีต่างๆ จากนั้นก็กำจัดปัญหาสาเหตุเหล่านั้น เพื่อให้ vital force กลับมาสู่สมดุลได้ด้วยตัวเอง หรือใช้ตัวช่วยที่เป็นสารตามธรรมชาติ เช่น วิตามิน เกลือแร่ สารสกัดจากธรรมชาติต่างๆ กระตุ้นในร่างกายและ vital force กลับมาเป็นปกติ โดยพยายามหลีกเลี่ยงยาเคมีต่างๆ เพราะยาเคมีมักทำลาย vital force มากกว่าเดิม

การรักษาโดยธรรมชาติบำบัดแบบ Homeopathy เป็นการรักษาที่เน้นการกระตุ้นให้ร่างกายและพลังงานภายใน (vital force) รักษาตัวเองให้คืนสู่สภาวะปกติ ยา Homeopathy เป็นยาที่สกัดมาจากสารตามธรรมชาติทั้งสิ้น เช่น พืช ชิ้นส่วนจากสัตว์ และแร่ธาตุต่างๆที่มีอยู่บนโลกนี้ โดยเชื่อว่าสารทุกชนิดบนโลกนี้เป็นยาได้ สารแต่ละชนิดมีคลื่นหรือพลังงานเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน ยา homeopathy ที่สกัดจากธรรมชาติจึงเป็นยาที่สกัดเฉพาะพลังงานหรือคลื่นของสารตามธรรมชาติ เหล่านั้นออกมา เพื่อนำมากระตุ้น vital force ที่เสียสมดุลให้กลับมาสมดุลอีกครั้งนั้นเอง

หลักการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด Homeopathy เชื่อ ว่า ในธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ มวลสาร (ร่างกาย วัตถุ หรือสิ่งที่จับต้องได้) และพลังงาน (สิ่งที่หมุนเวียนภายในร่างกายที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว) บางท่านฟังดูอาจจะบอกว่าเหมือนกับทางพระพุทธศาสนาที่มีการแยกกายกับจิต ก็คล้ายๆ กันนะครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก สสารและพลังงานจะต้องอยู่คู่กันเสมอ เช่น ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งดวงอาทิตย์ที่เรามองเห็นเป็นก้อนกลม แต่จริงๆแล้วก้อนกลมๆนั้นเกิดจากพลังงานที่มีรวมกันมากมายทำให้เกิดพลังงาน ที่ยิ่งใหญ่เราจึงสามารถมองเห็นได้ ภายในร่างกายคนเราเช่นกัน ถ้ามีแต่สสารแต่ไม่มีพลังงานเราก็เคลื่อนไหวไม่ได้

ดังนั้นยา Homeopathy แตกต่างจากยาสมุนไพรอื่นๆ ทั่วไปที่เรารู้จักกันดีตรงที่ยาสมุนไพรเป็นการนำโมเลกุลของสารตามธรรมชาติ เป็นตัวรักษา แต่ยา homeopathyใช้ส่วนของคลื่นหรือพลังงานจากสารธรรมชาติเป็นตัวรักษา ยาสมุนไพรออกฤทธิ์ในระดับร่างกาย (material) แต่ยา homeopathy ออกฤทธิ์ในระดับพลังงาน vital force (non-material)

สามารถเปรียบเทียบการรักษาแบบ Homeopathy ได้กับศาสตร์ที่คนไทยพอเข้าใจและรู้จักกันดี คือ การฝังเข็ม (acupuncture) ซึ่งเป็นการปรับสมดุลพลังงานภายในเหมือนกันแต่ต่างกันในวิธีการรักษา คือ homeopathy ใช้พลังงานจากสารธรรมชาติเป็นตัวกระตุ้น แต่ฝังเข็มใช้เข็มเป็นตัวกระตุ้นจุดพลังงานภายในร่างกายให้เกิดการปรับสมดุล

การรักษาสุขภาพ

การรักษาสุขภาพ


1. งีบทุกวัน วันละ 15 นาที Dr.Bill Anthony of Boston University กล่าวว่า การงีบจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพ และสมาธิในการทำงานดีขึ้น

2. กินกล้วยวันละ 2 ใบ ลดความเสี่ยงในการเกิด stroke ลงได้ 20% (stroke คือ การเป็นลม เนื่องจากสมองขาดเลือด)

3. ทาน ช็อคโกแลต 3 ชิ้นต่อเดือน อายุยืนขึ้น 1 ปี เพราะ chocolate แสดงออกถึงประสิทธิภาพในการลด LDL Cholesteral

4. เปลี่ยนไส้แซนวิชของคุณ จากแฮมเป็นปลาทูน่าลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ 25%

5. จูบลาแฟนคุณทุกเช้า และทักเธอทันทีเมื่อถึงบ้าน ทำชีวิตสมรสคุณให้ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ Dr.Dave M. Davis, Director of the Piedmont Psychiatric Clinic in Atlanta in U.S. กล่าวว่า ผมเห็นคนไข้หลายคนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาสั้นๆ หลัง จากที่ได้ทำตามคำแนะนำง่ายๆ นี้

6. ลดการทำงานลงวันละ 1 ชั่วโมง ชะลอการตายของคุณออกไป จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น พบว่า ผู้ชายที่ทำงานมากกว่า 11 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสหัวใจวายมากกว่าคนปกติที่ทำงานถึง 9 ถึง 11 ชั่วโมงต่อวัน ถึง 2.5 เท่า

7. เดินไปส่งเอกสารให้เพื่อนร่วมงาน แทนการส่ง e-mail ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 ก.ก. ต่อปี

8. เริ่มเก็บเงินวันละ 100 บาท เพื่อใช้ตอนที่คุณเลิกทำงาน เมื่อผ่านไป 20 ปี คุณจะมีเงินเก็บทั้ง สิ้น 3,740,000 บาท (สมมติได้ผลตอบแทน 15 % ต่อปี)

9. หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก ให้ทานวิตามินซี ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลง 50%

10. กินอาหารเช้าทุกวัน ลดน้ำหนักได้ทันที Franca Alphin จาก Duke University Diet and Fitness Centre in the US กล่าวว่า ทั่วไปแล้วผู้ชายที่เว้นกินอาหารเช้าจะทานอาหาร มากกว่านั้นในช่วงต่อมา และมักจะเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและ kilojules

11. ดื่มน้ำเย็นวันละ 4.5 ลิตร ทุกวัน ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 ก.ก. ทุกๆ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ เนื่องจากร่างกายของคุณจะใช้พลังงาน 516 kilojules ในการทำให้น้ำดื่มอุณหภูมิเป็น 22.7 องศาเฃลเฃียส เมื่อคุณดื่มเข้าไป

12. เหยียดขา (hamstring) ของคุณออกไปเต็มที่ค้างไว้ 30 วินาที วันละ 5 ครั้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงความสามารถในการยืดหยุ่นของคุณอีก 37%

13. บ้วนปากทันทีทุกครั้งหลังกินอาหาร ลดแบคทีเรียในช่องปากลงได้ 30% และที่สำคัญที่สุด คือช่วยลดความเสี่ยงของฟันผุ

14. กินแอปเปิลวันละ 2 ลูก ลด 4.5 kg ได้ภายใน 1 ปี เส้นใยอาหารในแอปเปิลช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการช่วยขัดขวางการย่อยไขมันและโปรตีนในร่างกาย

15. ทำความสะอาดอ่างล้างจานของคุณทุก ๆ 2 วัน กำจัด E.coli และ samonella bacteria จากสถานที่ที่มันชอบซ่อนตัวอยู่เป็นประจำ

16. เปลี่ยนแปลงจากเนยมาทาน low fat magerine แทนการลดปริมาณ cholesteral (LDL cholesteral เป็นชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) ที่ร่างกายคุณจะได้รับ

17. ดื่มเบียร์ประเภท stout แทนการดื่มประเภท soft drink เมื่อคุณกิน berger ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง เบียร์จะเป็นตัวป้องกันคุณจาก carcinogens ที่มีอยู่ในเนื้อย่างสุก

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา*

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา*

ในการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในภาคการศึกษานั้น จะต้องมุ่งพัฒนาที่ตัวครูก่อนเป็นอันดับแรก เพราะครูถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ และปลูกฝังสิ่งต่างๆ ให้แก่เด็ก ดังนั้นจึงควรส่งเสริมครูให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถ่องแท้ก่อน เพราะเมื่อครูเข้าใจ ครูก็จะได้เป็นแบบอย่างทีดีให้แก่เด็กได้ ครูจะสอนให้เด็กรู้จักพอ ครูจะต้องรู้จักพอก่อน โดยอยู่อย่างพอเพียงและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมีสติในการเลือกรับข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามา รู้จักเลือกรับและรู้จักต่อยอดองค์ความรู้ที่มีอยู่ หมั่นศึกษา เพิ่มพูนความรู้ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ในการเลือกรับข้อมูลนั้น ต้องรู้จักพิจารณารับอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รู้จักแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ประเมินความรู้และสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา จะได้รู้จัก และเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสภาพ และผลจากการเปลี่ยนแปลงในมติต่างๆ ได้อย่างรอบคอบ และระมัดระวัง

เป้าหมายสำคัญของการขับเคลื่อน คือ การทำให้เด็กรู้จักความพอเพียง ปลูกฝัง อบรม บ่มเพาะให้เด็กมีความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม โดยสอดแทรกแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร สาระเรียนรู้ต่างๆ เพื่อสอนให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เห็นคุณค่าของทรัพยากรต่างๆ รู้จักอยู่ร่วมกับผู้อื่น รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน มีจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมค่านิยม ความเป็นไทย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงต่างๆ รู้ว่าตนเองเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของโลก การกระทำของตนย่อมมีผลและเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมในโลกที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น สำคัญคือครูจะต้องรู้จักบูรณาการการเรียนการสอนให้เด็กและเยาวชนเห็นถึงความเชื่อมโยงในมิติต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งความเป็นองค์รวมนี้จะเกิดขึ้นได้ ครูต้องโดยใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อน

นอกจากนี้ ในการส่งเสริมให้นำหลักปรัชญาฯไปใช้ในสถานศึกษาต่างๆ นั้น อาจจะใช้วิธี “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ตามหลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า สำคัญที่สุดครูต้องเข้าใจเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงก่อน โดยเข้าใจว่าแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นแนวคิดที่สามารถเริ่มต้นและปลูกฝังได้ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน เช่น กิจกรรมการรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน การกำจัดขยะในโรงเรียน การสำรวจทรัพยากรของชุมชนฯลฯ

ก่อนอื่น ครูต้องเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี โดยกลับมาพิจารณาและวิเคราะห์ดูว่า ในตัวครูนั้นมีความไม่พอเพียงในด้านใดบ้าง เพราะการวิเคราะห์ปัญหาจะทำให้รู้และเข้าใจปัญหา ที่เกิดจากความไม่พอเพียง รวมทั้งควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาด้วย โดยการวิเคราะห์นี้ต้องดำเนินไปบนพื้นฐานของความรู้และคุณธรรม โดยเฉพาะคุณธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นในใจเด็กให้ได้ก่อน ผ่านกิจกรรมที่ครูเป็นผู้คิดขึ้นมา โดยครูในแต่ละโรงเรียนจะต้องมานั่งพิจารณาก่อนว่า จะเริ่มต้นปลูกฝังแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจากจุดไหน ทุกคนควรมาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ สามัคคีกันในกระบวนการหารือ

หลังจากที่ครูได้ค้นหากิจกรรมที่จะปลูกฝังแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ครูควรจะต้องตั้งเป้าหมายการสอนก่อนว่าครูจะสอนเด็กให้รู้จักพัฒนาตนเองได้อย่างไร โดยอาจเริ่มต้นสอนจากกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถเริ่มต้นจากตัวเด็กแต่ละคนให้ได้ก่อน เช่น การเก็บขยะ การประหยัดพลังงาน ฯลฯ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัย ที่ตนเองมีต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกในด้านต่างๆ 4 มิติ

ในส่วนของการเข้าถึงนั้น เมื่อครูเข้าใจแล้ว ครูต้องคิดหาวิธีที่จะเข้าถึงเด็ก พิจารณาดูก่อนว่าจะสอดแทรกกิจกรรมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เข้าไปในวิธีคิดและในวิชาการต่างๆ ได้อย่างไร ทั้งนี้ อาจจัดกิจกรรมกลุ่มให้นักเรียนได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ รู้จักแบ่งหน้าที่กันตามความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงชั้น เช่น ในกิจกรรมการเก็บขยะเพื่อรักษาความสะอาดของโรงเรียนนั้น ครูอาจจัดกิจกรรมสำหรับเด็กในแต่ละช่วงชั้น คือ ช่วงชั้นที่ 1 สร้างกิจกรรมที่สนับสนุนให้เด็กช่วยกันเก็บขยะ (ให้เด็กรู้หน้าที่ของตน ในระดับบุคคล)/ ช่วงชั้นที่ 2 สร้างกิจกรรมที่สนับสนุนให้เด็กช่วยกันเก็บขยะและนับขยะ (ให้รู้จักการวิเคราะห์และรู้ถึงความเชื่อมโยงของตนเองกับสมาชิกคนอื่นๆ ในโรงเรียน) / ช่วงชั้นที่ 3 สร้างกิจกรรมที่สอนให้เด็กรู้จักเชื่อมโยงกับชุมชนภายนอกรอบๆ โรงเรียน เช่น สร้างกิจกรรมที่สอนให้เด็กรู้จักแบ่งแยกขยะ ร่วมมือกับชุมชนในการรักษาสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ที่โรงเรียนและชุมชนของเขาตั้งอยู่ด้วย

กิจกรรมทั้งหมดนี้สำคัญคือต้องเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยสถานศึกษาควรตั้งเป้าให้เกิดการจัดการศึกษาตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง สอดแทรกเข้าไปในกระบวนการเรียนรู้ สอนให้เด็กพึ่งตนเองให้ได้ก่อน จนสามารถเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆ ในสังคมได้ต่อไป

การจัดการศึกษาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

การจัดการศึกษาตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถดำเนินการได้ใน 2 ส่วน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา และส่วนที่เป็นการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งส่วนที่ 2 นี้ ประกอบด้วย การสอดแทรกสาระเศรษฐกิจพอเพียง ในหลักสูตรและสาระเรียนรู้ในห้องเรียน และประยุกต์หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาในระยะแรก ได้เริ่มจากการไปค้นหากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่มีคุณลักษณะ และการจัดการที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือพอประมาณกับศักยภาพของนักเรียน พอประมาณกับภูมิสังคมของโรงเรียนและชุมชนที่ตั้ง เช่น เด็กช่วงชั้นที่ 2 ทำสหกรณ์ได้ เด็กช่วงชั้นที่ 4 ดูแลสิ่งแวดล้อม มีการส่งเสริมให้ใช้ความรู้อย่างรอบคอบระมัดระวัง ฝึกให้เด็กคิดเป็นทำเป็นอย่างมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันส่งเสริมให้เด็กทำงานร่วมกับผู้อื่น มีความซื่อสัตย์ สุจริต รับผิดชอบ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีวินัย มีสัมมาคารวะ ปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม สืบสานวัฒนธรรมไทย กล่าวคือ สอนให้ผู้เรียน ยึดมั่นในหลักศีลธรรม พัฒนาคนให้เขารู้จักทำประโยชน์ให้กับสังคมและช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และตัวกิจกรรมเองก็ต้องยั่งยืน โดยมีภูมิคุ้มกันในด้านต่างๆ ถึงจะเปลี่ยนผู้อำนวยการ แต่กิจกรรมก็ยังดำเนินอยู่ อย่างนี้เรียกว่า มีภูมิคุ้มกัน

การค้นหาตัวอย่างกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ก็เพื่อให้มีตัวอย่างรูปธรรม ในการสร้างความเข้าใจภายในวงการศึกษาว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงหมายความว่าอย่างไร และสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนได้อย่างไรบ้าง หลังจากนั้น ก็ส่งเสริมให้บูรณาการการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเหล่านี้ เข้าไปในการเรียนรู้สาระต่างๆ บูรณาการเข้ากับทุกสาระเรียนรู้ เช่น วิทยาศาสตร์ เพื่อทำให้เกิดสมดุลทางสิ่งแวดล้อม บูรณาการเข้ากับวิชาคณิตศาสตร์ ในการสอนการคำนวณที่มีความหมายในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง หรือบูรณาการเข้ากับสาระภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สุขศึกษา พลศึกษา การงานอาชีพ เทคโนโลยีต่างๆ ได้หมด นอกเหนือจากการสอนในสาระหลักคือในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม เท่านั้น

สำหรับมาตรฐานการเรียนรู้ มีวัตถุประสงค์ให้ทุกช่วงชั้นเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถประยุกต์ใช้ได้ แต่ถ้ามาตรฐานเรียนรู้ของทุกช่วงชั้นเหมือนกันหมดก็จะมีปัญหาทางปฏิบัติ จึงต้องกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนในการเรียนการสอนของแต่ละช่วงชั้น และแต่ละชั้นปี ดังนี้

ช่วงชั้นที่ 1 เน้นให้เด็กพึ่งตนเองได้ หรือใช้ชีวิตพอเพียงระดับบุคคลและครอบครัว เช่น ประถม 1 ช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่ล้างจานชาม เก็บขยะไปทิ้ง กวาดบ้าน จัดหนังสือไปเรียนเอง แบ่งปันสิ่งของให้เพื่อน กินอาหารให้หมดจาน ประถม 2 วิเคราะห์รายจ่ายของครอบครัว จะมีเป็นตารางกรอกค่าใช้จ่ายต่างๆ ของครอบครัว คุณแม่ซื้ออะไรบ้าง คุณพ่อซื้ออะไรบ้าง เด็กจะได้รู้พ่อแม่หาเงินมายากแค่ไหน เช่น ยาสีฟันหลอดละ 46 บาท จะต้องไม่เอามาบีบเล่น จะต้องสอนให้เด็กเห็นคุณค่าของสิ่งของ ให้เด็กตระหนักถึงคุณค่าของเงินทอง จะได้ฝึกนิสัยประหยัด ครอบครัวมีรายได้และรายจ่ายเท่าไร เด็กจะได้ฝึกจิตสำนึกและนิสัยพอเพียง มีหลายโรงเรียนทำแล้ว ประถม 3 สอนให้รู้จักช่วยเหลือครอบครัวอย่างพอเพียง และรู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น มีส่วนร่วมสร้างครอบครัวพอเพียง

ช่วงชั้นที่ 2 ฝึกให้เด็กรู้จักประยุกต์ใช้หลักความพอเพียงในโรงเรียน สามารถวิเคราะห์วางแผนและจัดทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายของตนเองและครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วมในการสร้างความพอเพียงระดับโรงเรียน และชุมชนใกล้ตัว โดยเริ่มจากการสำรวจทรัพยากรต่างๆ ในโรงเรียนและชุมชน มีส่วนร่วมในการดูแลบำรุงรักษาทรัพยากรต่างๆ ทั้งด้านวัตถุ สิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และรวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ มาเป็นข้อมูลในการเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนและเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง

ช่วงชั้นที่ 3 ประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับชุมชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน สามารถสำรวจและวิเคราะห์ความพอเพียงในระดับต่างๆ และในมิติต่างๆ ทั้งทางวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมในชุมชนใกล้ตัว เห็นคุณค่าของการใช้หลักพอเพียงในการจัดการชุมชน และในที่สุดแล้วสามารถนำหลักการพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน จนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ความพอเพียงได้ในที่สุด

ช่วงชั้นที่ 4 เตรียมคนให้เป็นคนที่ดีต่อประเทศชาติสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ ต้องเริ่มเข้าใจความพอเพียงระดับประเทศ และการพัฒนาประเทศภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ เช่น การวิเคราะห์สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ หรือการศึกษาสถานการณ์สิ่งแวดล้อม สภาพปัญหาด้านสังคมเป็นอย่างไร แตกแยกหรือสามัคคี เป็นต้น

ขณะนี้คณะทำงานขับเคลื่อนด้านการศึกษาและเยาวชน ทำงานร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ และอีกหลายหน่วยงาน วิสัยทัศน์ของการขับเคลื่อน คือ สานเครือข่าย ขยายความรู้ ควบคู่ประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในหลักปรัชญาฯ และให้บุคลากรด้านการศึกษา สามารถนำหลักคิดหลักปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียง มาบูรณาการสู่การเรียนการสอนในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ของทุกระดับได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และเป็นรูปธรรม ตลอดจนผู้บริหารสามารถนำหลักปรัชญาฯ ไปใช้ในการบริหารสถานศึกษาเพื่อให้เกิดประโยชน์และความสุข

กฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน...ที่ควรรู้จัก


1. การทะเบียนราษฎร์
บุตรเกิด ถ้าเกิดในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้ง ถ้าเกิดนอกบ้าน ให้มารดาแจ้งภายใน 15 วัน นับแต่วันเกิด
ชื่อบุตร ให้เจ้าบ้าน บิดา หรือมารดาแล้วแต่กรณี แจ้งชื่อบุตรพร้อมกับการแจ้งเกิด ถ้าจะเปลี่ยนชื่อให้แจ้งภายใน 6 เดือนนับแต่วันแจ้งชื่อครั้งแรก
ย้ายบ้าน ให้ผู้ย้ายหรือผู้ที่เจ้าบ้านมอบอำนาจแจ้งออกจากบ้านเดิมภายใน 15 วัน และเมื่อไปอยู่บ้านใหม่ให้แจ้งภายใน 15 วันเช่นกัน
คนตาย ถ้าในบ้านให้เจ้าบ้านแจ้ง ถ้าตายนอกบ้านให้ผู้ที่ไปกับผู้ตาย หรือผู้ที่พบศพเป็นผู้แจ้ง ภายใน 24 ช.ม. นับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ แจ้งที่ไหน กรณีบุตรเกิด ตั้งชื่อบุตร ย้ายบ้านหรือคนตาย ให้แจ้งดังนี้
ในเขตเทศบาล : ให้แจ้งที่สำนักงานท้องถิ่นซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานเทศบาล
นอกเขตเทศบาล : ให้แจ้งที่สำนักทะเบียนตำบล (บ้านกำนัน) หรือสำนักทะเบียนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง (เช่น เขตกรมทหาร)
ความผิด
ถ้าไม่แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา มีความผิดตามกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท
ถ้าไม่แจ้งการตายภายในเวลามีความผิดตามกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท

2. บัตรประจำตัวประชาชน
คนไทยซึ่งมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจนถึง 70 ปี บริบูรณ์
ต้องไปขอทำบัตรที่อำเภอหรือที่ว่าการเขตภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่อายูครบ 15 ปีบริบูรณ์
บัตรประจำตัวประชาชนชำรุดหรือสูญหาย
ต้องยื่นคำร้องขอมีบัตรใหม่ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่บัตรเดิมชำรุดหรือสูญหาย (ต้องไปแจ้งบัตรหายที่สถานีตำรวจ)
อายุของบัตร กำหนดใช้ได้ 6 ปี เมื่อถึงกำหนดสิ้นอายุบัตรต้องไปติดต่อขอทำบัตรใหม่ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันสิ้นอายุ ณ อำเภอท้องที่ที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน
ความผิด

ผู้ถือบัตรผู้ใดไม่อาจแสดงบัตรได้ในเมื่อเจ้าพนักงานขอตรวจ มีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท
ผู้ไม่มีสัญชาติไทยยื่นคำร้องขอมีบัตร โดยแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าตนมีสัญชาติไทย มีโทษปรับไม่เกิน 2.000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
ไม่ยื่นคำร้องขอมีบัตรภายในกำหนดเวลา
มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
บัตรหมดอายุไม่ต่อบัตรภายในกำหนด
มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท


3. การรับราชการทหาร
กำหนดเวลาแสดงตนลงบัญชีทหารกองเกิน ชายไทยอายุย่างเข้า 18 ปี ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในเดือนพฤศจิกายนของปีที่อายุย่างเข้า 18 ปี
สถานที่แสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน คือที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอที่เป็นภูมิลำเนาทหาร

4. การรักษาความสะอาด
ห้ามขีดเขียน วาดรูปวาดภาพบนรั้วผนังอาคาร ต้นไม้ หรือสิ่งใดใสที่สาธารณะ หรือเห็นได้จากที่สาธารณะนั้น ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท
ห้ามติดตั้ง ตาก วางหรือแขวนสิ่งใดๆ ในที่สาธารณะหรือมองเห็นได้จากที่สาธารณะโดยไม่บังควรหรือทำให้มองดูแล้วไม่เป็นระเบียบเรัยบร้อย ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับ 200 บาท
ห้ามบ้วน สั่งหรือถ่มน้ำลาย น้ำมูก น้ำหมาก เสมหะหรือทิ้งสิ่งใดๆ ลงบนท้องถนน พื้นรถ หรือเรือสาธารณะ โรงมหรสพ ร้านค้า หรือที่สาธารณะ ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท

5. การเรี่ยไร
ผู้ทำการเรี่ยไร ต้องมีใบอนุญาตให้ทำการเรี่ยไรติดตัวและต้องออกใบรับให้ผู้บริจาค

6.หนังสือมอบอำนาจ
การมอบอำนาจ เป็นการตั้งตัวแทนเพื่อทำการสำหรับการมอบอำนาจให้กระทำ การเกี่ยวกับที่ดินเป็นเรื่องสำคัญ ควรใช้หนังสือมอบอำนาจของกรมที่ดิน

7. เอกเทศสัญญา
กู้ยืม การกู้ยืมเงินกันเกินกว่าห้าสิบบาท จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่ามีการกู้ยืมเงินกันจริงและต้องลงลายมือชื่อผู้กู้ด้วย กฎหมายให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 บาทต่อปี
การจำนอง คือการกู้ยืมโดยมีทรัพย์สิน เป็นประกัน โดยทั่วไปได้แก่ ที่ดิน บ้านพร้อมที่ดิน เรือยนต์ (5 ตันขึ้นไป) สัตว์พาหนะ ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ความ หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งกฎหมายหากบัญญัติไว้ให้จดทะเบียนเฉพาะกาล โดยทรัพย์ยังอยู่ที่ผู้จำนอง การจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เช่าซื้อ ต้องทำเป็นหนังสือและปิดอากรแสตมป์ เว้นแต่เช่าซื้อเครื่องมือการเกษตรไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
เช่าทรัพย์ เช่าบ้านหรือที่ดินไม่เกิน 3 ปี ต้องทำเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่า หากเกิน 3 ปี ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

8. กฎหมายที่ดิน
เมื่อโฉนดใบจองหรือ นส.3 ชำรุด สูญหายหรือเป็นอันตราย ต้องติดต่ออำเภอหรือสำนักงานทะเบียนที่ดิน เพื่อขอออกใบใหม่หรือใบแทน มิฉะนั้นผู้อื่นที่ได้หนังสือสำคัญไปอาจนำไปอ้างสิทธิ ทำให้เจ้าของเดิมเสียประโยชน์ได้
ที่ดินมือเปล่า เจ้าของควรดูแลรักษาให้ดี อย่าทอดทิ้งหรือปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า หากมีผู้ครอบครองก็หาทางไล่ออกไปเสีย มิฉะนั้นเจ้าของจะเสียสิทธิไป นอกจากนี้ หากไม่มี ส.ค.1 ก็ควรหาทางขอ น.ส.3 แล้วต่อไปก็ขอให้มีโฉนดเสียให้เรียบร้อย เพราะทำให้ได้ประโยชน์มากขึ้นและปลอดภัยจากการเสียสิทธิมากขึ้น
ที่ดินมีโฉนด อย่าทอดทิ้งหรือปล่อยให้รกร้างหรือให้คนอื่นครอบครองไว้นานๆ อาจเสียสิทธิได้เช่นกัน
การทำนิติกรรม ต้องทำให้สมบูรณ์ตามกฎหมายโดยทำที่อำเภอหรือสำนักงานทะเบียนที่ดิน

9. อาวุธปืน
ผู้ที่ประสงค์จะขอมีอาวุธปืน เพื่อใช้หรือเก็บไว้ป้องกันตัวหรือทรัพย์สิน ให้ยื่นคำร้องขอตามแบบ ป.1 ต่อนายทะเบียนท้องที่
กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ผู้บังคับการกองทะเบียนกรมตำรวจ
จังหวัดอื่นๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนท้องที่จังหวัด
การแจ้งย้ายอาวุธปืน เมื่อผู้ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนย้ายภูมิลำเนา ต้องแจ้งย้ายอาวุธปืนต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน นับแต่วันย้าย และถ้าย้ายไปต่างท้องที่ให้แจ้งการย้ายต่อนายทะเบียนท้องที่ใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ย้ายไปถึงอีกด้วย
การรับมรดกปืน เป็นหน้าที่ของทายาทหรือผู้ครอบครอง ต้องไปแจ้งการตายต่อนายทะเบียนท้องที่ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันทราบการตายและยื่นคำร้องขอรับมรดกอาวุธปืนนั้นต่อไป
ใบอนุญาตสูญหายหรือชำรุดอ่านไม่ออก ให้ยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตต่อนายทะเบียนท้องที่ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบเหตุ
อาวุธปืนหายหรือถูกทำลาย ให้เจ้าของแจ้งเหตุพร้อมด้วยหลักฐานและส่งมอบใบอนุญาตต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนอยู่ หรือนายทะเบียนท้องที่ที่เกิดเหตุภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบเหตุ
*
ความผิดและโทษของอาวุธปืน
มีและพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท
พกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้พก เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดพกพาอาวุธปืนไปโดยเปิดเผย หรือพาไปที่ชุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริง การมหรสพ หรือการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาทแม้ว่าผู้นั้นจะได้รับอนุญาตพกพาอาวุธปืนหรือกรณีเร่งด่วนก็ตาม

ประโชยน์ของสารสนเทศ

ประโชยน์ของสารสนเทศ


ประสิทธิภาพ (Efficiency)
- ระบบสารสนเทศทำให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้กระบวนการประมวลผลข้อมูลซึ่งจะทำให้สามารถเก็บรวบรวม ประมวลผลและปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็วระบบสารสนเทศช่วยในการ จัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือมีปริมาณมากและช่วยทำให้การเข้าถึงข้อมูล (access) เหล่านั้นมีความรวดเร็วด้วย

- ช่วยลดต้นทุน การที่ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง กับข้อมูลซึ่งมีปริมาณมากมีความสลับซับซ้อนให้ดำเนินการได้โดยเร็ว หรือการช่วยให้เกิดการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนการดำเนินการอย่างมาก

- ช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว การใช้เครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ทำให้มีการติดต่อได้ทั่วโลกภายในเวลาที่รวด เร็ว ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย กัน (machine to machine) หรือคนกับคน (human to human) หรือคนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ (human to machine) และการติดต่อสื่อสารดังกล่าวจะทำให้ข้อมูลที่เป็นทั้งข้อความ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวสามารถส่งได้ทันที

- ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การประสานงานระหว่างฝ่ายต่างๆ เป็นไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะหาระบบสารสนเทศนั้นออกแบบเพื่อเอื้ออำนวยให้หน่วย งาน ทั้งภายในและภายนอกที่อยู่ในระบบของซัพพลายทั้งหมด จะทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ และทำให้การประสานงาน หรือการทำความเข้าใจเป็นไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น

ประสิทธิผล (Effectiveness)
- ระบบสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ออกแบบสำหรับผู้บริหาร เช่น ระบบสารสนเทศที่ช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision support systems) หรือระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Executive support systems) จะเอื้ออำนวยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจได้ดีขึ้น อันจะส่งผลให้การดำเนินงานสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ไว้ได้

- ระบบสารสนเทศช่วยในการเลือกผลิตสินค้า/ บริการที่เหมาะสมระบบสารสนเทศจะช่วยทำให้องค์การทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับต้นทุน ราคาในตลาดรูปแบบของสินค้า/บริการที่มีอยู่ หรือช่วยทำให้หน่วยงานสามารถเลือกผลิตสินค้า/บริการที่มีความเหมาะสมกับความ เชี่ยวชาญ หรือทรัพยากรที่มีอยู่

- ระบบสารสนเทศช่วยปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/ บริการให้ดีขึ้นระบบสารสนเทศทำให้การติดต่อระหว่างหน่วยงานและลูกค้า สามารถทำได้โดยถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ดังนั้นจึงช่วยให้หน่วยงานสามารถปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/ บริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้วย

- ความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage)


สะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยและก่อให้เกิดความเครียดต่อผู้ป่วยอย่างมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้อยู่ ในตอนแรกนี้จะคุยให้ฟังถึงโรคนี้อย่างคร่าวๆ เสียก่อน

สะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ เป็นปื้นนูนแดงปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน ปื้นแดงนี้มักพบบริเวณข้อศอก เข่า หลังส่วนล่าง และหนังศีรษะ แต่อาจพบผื่นที่ผิวหนังบริเวณใดของร่างกาย ก็ได้รวมทั้งที่เล็บ ในกรณีที่ผื่นสะเก็ดเงิน เกิดขึ้นในบริเวณข้อพับต่างๆ เช่น ขาหนีบ รักแร้ อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอก และใต้ฐานเต้านมในผู้หญิง ก็มักจะมีลักษณะต่างจากลักษณะข้างต้นคือ ผื่นจะมีสะเก็ดค่อนข้างน้อย หรือไม่มีเลยและพื้นผิวค่อนข้างมัน โดยทั่วไปผื่นสะเก็ดเงินมักไม่พบที่บริเวณใบหน้า นอกจากนี้เมื่อผื่น สะเก็ดเงินหายแล้ว จะไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่ และน้อยรายมากที่จะทำให้เกิดผมร่วง อย่างไรก็ดี อาจมี ร่องรอยการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหนังในบริเวณที่เคยเป็นผื่นสะเก็ดเงินมาก่อน หลงเหลืออยู่แต่ก็จะค่อยๆ กลับเป็นปกติเมื่อเวลาผ่านไป

สะเก็ดเงินเป็นโรคที่พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 2 ของประชากรที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงยัง ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ผลที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง คือมีการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วขึ้นกว่าปกติ และทำให้ ผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่นมีความหนากว่าผิวหนังปกติ สาเหตุหนึ่งที่เชื่อว่าทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน คือการตอบ สนองทางภูมิคุ้มกันอย่างผิดปกติต่อองค์ประกอบบางอย่างของผิวหนัง แต่สาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบ แน่ชัดและอยู่ในระหว่างการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวาง

ปัจจัยทางพันธุกรรมก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบว่ามีเพียงสมาชิกในบางครอบครัวเท่านั้นที่ป่วย เป็นโรคนี้ และพบ และพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จะมีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนในเครือญาติที่ป่วยเป็นโรคนี้เช่นเดียวกัน

การเกิดผื่นมักเริ่มจากมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น ได้แก่ อารมณ์เครียด การบาดเจ็บของผิวหนัง (รอย ฉีกขาด รอยแกะ รอยเกา เป็นต้น) อาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส การเปลี่ยนแปลงระดับ ฮอร์โมน (ผื่นมักเริ่มเกิดในช่วงแตกเนื้อหนุ่มหรือเป็นสาว) และยาบางชนิด (พบได้น้อย) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นเท่าที่จะสามารถทำได้ อย่างไรก็ดีน่าจะมีปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือ จากที่กล่าวมาแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน

ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินไม่จำเป็นต้องได้รับสารอาหารพิเศษ เนื่องจากกระบวนการเกิดโรคนี้ไม่ได้มีความ สัมพันธ์กับสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นพิเศษ ในกรณีที่ผู้ป่วยค่อนข้างอ้วนอาจจะต้อง พิจารณาควบคุม น้ำหนักเนื่องจากจะทำให้เกิดความยากลำบากในการดูแลรักษาผื่นที่เกิดตามรอยพับต่างๆ ของผิวหนัง

การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณไม่มากสามารถกระทำได้ ไม่เป็นข้อห้าม และไม่มีผลต่อ การดำเนินโรค แต่อาจมีผลต่อการรักษาด้วยตัวยาบางชนิด อย่างไรก็ตามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ใน ปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ผื่นสะเก็ดเงินกำเริบหรือเห่อได้ โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

สะเก็ดเงินไม่ใช่โรคภูมิแพ้และไม่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้เนื่องจากไม่ใช่โรคติดเชื้อ สะเก็ดเงิน อาจดีขึ้นหรือแย่ลงได้ในช่วงตั้งครรภ์ แต่ไม่มีอันตรายต่อตัวมารดาและทารก

ถึงแม้ว่าบุตรของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินมีแนวโน้มสูงกว่าคนทั่วไปที่จะป่วยเป็นโรคนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ บุตรของผู้ป่วยทุกรายจะต้องเกิดผื่น ถ้าบิดาป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน บุตรของผู้ป่วยมีโอกาสที่จะเป็นโรคมี เพียง 1 ใน 3 แต่ถ้ามารดาป่วยเป็นโรคนี้ บุตรของผู้ป่วยมีโอกาส เพียง 1 ใน 5 เท่านั้น

ขอบเขตการเกิดผื่นค่อนข้างจะผันแปร และแตกต่างออกไปในผู้ป่วยแต่ละคน ในกรณีที่ไม่ได้รับการ รักษาผื่นอาจหายเป็นปกติได้เอง อย่างไรก็ดี ผื่นก็ยังมีโอกาสที่จะกลับเป็นซ้ำได้อีกทุกเมื่อ แม้ว่าผื่นจะหาย ไปเป็นเวลานานหลายปีแล้วก็ตาม

การรักษาโรคสะเก็ดเงินมีหลายวิธีและยังคงมีการค้นคว้าถึงการรักษาวิธีใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง การ รักษาแต่ละวิธีจะมีความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

สำหรับแม่...น้อยกว่านี้ได้ยังไง

อันความรักของแม่ไม่แปรผันจะกี่วันรักของแม่ไม่จางหายจะกี่เดือนรักของแม่ไม่กลับกลายจนสิ้นใจไม่มี
เคลื่อนเลือนหายไป.....ถึงตอนนี้ลูกเติบใหญ่ไม่สิ้นรักแม่ก็จักรักเจ้าจนสิ้นขัยยิ่งพูนเพิ่มด้วยความรักและ
ห่วงใยตลอดไปไม่สิ้นสุดหยุดรักเลย.....เห็นหน้าเจ้าสดใสให้เป็นสุขเห็นเจ้าทุกข์แม่ก็ทุกข์กว่าไหนไหนให้
ความรักปลอบขวัญกำลังใจแม่มัให้ลูกนั้นทุกวันเอย.....
ฉันชื่อ..นางสาวสุทธิดา ราชอาษา ชื่อเร่น ดา

วันเกิด 26 มีนาคม 2537

สี่ที่ฉันชอบ ชมพู ฟ้า ขาว

อนาคตที่ฝัน พยาบาล

อาหาารที่ชอบ คะน้าหมูกรอบ

วิชาที่ชอบ เคมี

วิชาทีไม่ชอบ คณิต พื้นฐาน

คติ ฝันให้ไกล ไปให้ถึง

เพื่อนสนิท เป้ บี แก้ว

นิสัย ร่าเริง รักสนุก

สัตว์ที่ชอบ หมา มะจัง

อี-แมว dady_lv_markky@hotmail.com

เบอร์โทรสับ 0827523136

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

การทำงานของคอมพิวเตอร์

1.คอมพิวเตอร์เริ่มมีการประสานการทำงานตั้งแต่ขั้นตอนใด
ตอบ เปิดเครื่อง

2.คอมพิวเตอร์แบ่งการทำงานได้เป็นกี่แบบ อะไรบ้าง

ตอบ 4แบบ ได้แก่ รับคำสั่ง เก็บข้อมูล ประมวณผล แสดงผลลัพธ์ออมาให้เห็น


3.หน้าที่ของการแสดงผลลัพธ์ (output device) คืออะไร และยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง

ตอบ การแสดงผลลัพธ์ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ออกมา เช่น แสดงบนจอภาพหรือพิมพ์สู่กระดาษ


4.Ram คืออะไร (อธิบายมาพอสังเขป)

ตอบ คือหน่วยความจำภายในตัวเครื่องข้อมูลจะถูกส่งผ่านมายัง Ram เสืยก่อนแล้วจึงส่งตอไปให้ CPU